วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ระบบประสาทสัมผัสและประโยชน์ของแมว

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยม ด้วยความน่ารัก ชอบประจบ คลอเคลีย อันเป็นเสน่ท์ที่เจ้าของหลงใหล แต่การเลี้ยงแมวในบ้านมีปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือ แมวมักจะชอบลับเล็บด้วยการข่วนเล็บของมันกับโซฟา ตู้ หมอน ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าปัญหาดังกล่าวมีมาก เจ้าของบางคนอาจจะเลือกวิธีการการถอดเล็บของมัน เพื่อป้องกันการทำลายสิ่งของจากการข่วนหรือลับเล็บของมัน แต่บางคนอาจจะคิดว่าเป็นวิธีการที่โหดร้าย ไม่เป็นสิ่งที่น่าทำ เมื่อลองจินตนาการดูนิ้วมือของเราเอง ปรากฎว่าไม่มีเล็บนั่นแหละคือการถอดเล็บ โดยทั่วไปการถอดเล็บมักจะทำกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ไม่ใช่แมว เช่น เสือ หรือหมี เพราะมีโอกาสทำร้ายผู้เลี้ยงได้ การถอดเล็บไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เรามองเห็น แต่การถอดเล็บเป็นการตัด หรือทำลาย ทั้งประสาทรับความรู้สึกและประสาทสั่งงาน(sensory nerves and motor) โดยที่ภายหลังการทำการผ่าตัดถอดเล็บสามารถนำแมวกลับบ้านได้เลย แต่ภายหลังการผ่าตัดถอดเล็บ แมวมักจะมีความเจ็บปวด ไม่สามารถเดินได้ถนัดนัก แมวอาจจะซึม ไม่สดชื่น เนื่องจากแมวยังไม่สามารถเดิน วิ่งเล่น ปีน ลับเล็บได้เหมือนอย่างที่มันเคยทำ การถอดเล็บจึงอาจจะทำร้ายแมวได้ แมวอาจจะเปลี่ยนนิสัยได้ มันอาจจะไม่ค่อยไว้ใจใครอีกต่อไป เป็นแมวขี้กลัว หรือดุร้ายมากขึ้น หรือขี้ขลาดไปเลย ถ้าการทำศัลยกรรมทำได้ไม่ดีนัก แมวอาจจะเจ็บขา เดินไม่ถนัด ต้องผ่าตัดแก้ไขอีก แต่โชคดีบ้านเราไม่ค่อยมีเจ้าของแมวนำแมวมาถอดเล็บ แต่มีการนำเสือ หมีมาทำแทน 

     

     พึงระลึกด้วยว่า ปัญหาการลับเล็บของแมว หรือการข่วนเฟอร์นิเจอร์ เป็นปัญหาที่เล็กน้อยไม่ใหญ่โตมากนัก ที่สำคัญเราสามารถนำวัตถุที่เราเตรียมไว้สำหรับการลับเล็บให้กับมันได้ ที่เรียกว่า "scratching post" สามารถฝึกได้ แต่การถอดเล็บเป็นสิ่งที่อาจจะดูโหดร้ายสำหรับเราชาวพุทธ 

ตัวผู้หรือตัวเมีย  แมวตัวผู้  ตัวโตกว่า น้ำหนักมากกว่า ร้องดังกว่า กระโดดสูงกว่า ปีนป่ายเก่งกว่า ไวกว่า แข็งแรงกว่า ซนกว่า จับสัตว์เก่งกว่า ชอบเที่ยวนอกบ้าน และไม่สนใจเจ้าของเท่าแมวตัวเมีย 
     แมวตัวเมีย  ตัวเล็กกว่า ตัวเบากว่า ร้องค่อยกว่า กระโดดเตี้ยกว่า ปีนไม่ค่อยเก่ง ไวสู้ตัวผู้ไม่ได้ อ่อนแอกว่า เรียบร้อยกว่า จับสัตว์ไม่เก่ง อยู่ติดบ้าน และชอบอยู่ใกล้เจ้าของมากกว่าแมวตัวผู้ ข้อเสียหลักของแมวตัวเมียคือ ตกลูกบ่อย  หากคุณคิดจะเลี้ยงแมวเพื่อจับหนู ก็ควรเลือกแมวตัวผู้ แต่ถ้าคิดจะเลี้ยงไว้ดูเล่น แมวตัวเมียจะสร้างความเสียหาย และความปวดหัวให้น้อยกว่า 



ประสาทสัมผัสของแมว

การมองเห็น(Sight)
     วิธีการล่าเหยื่อของแมว มีท่าทางการจ้องมองด้วยดวงตาทั้งสองข้างพร้อมทั้งการได้ยิน ของเสียงด้วยระบบการได้ยินของใบหูทั้งสองส่วนจัดสัมพันธ์กันเป็นองค์ประกอบด้านสื่อ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ได้ดีเป็นพิเศษ แต่แมวไม่สามารถที่จะแยกแยะในส่วนของสี ที่จะช่วยให้มันมองเห็นเป็นรูปร่างได้ทันที เนื่องจากหลังม่านกระจกแก้วตาแมวนั้นมีสิ่งกีดขวาง จึงไม่ช่วยให้แมวมองเห็นวัตถุได้อย่างใกล้ชิด การที่ลูกนัยน์ตาแมวทั้งสองข้างมองเห็นได้นั้นเกิดจาก การควบคุมของระบบประสาทจึงทำให้มันมองเห็นภาพในระยะไกลได้ดีกว่าระยะใกล้ ลูกตาของแมวสามารถเคลื่อนมองได้กว้างถึง 205 องศา ทำให้แมวมองได้รอบทั่วบริเวณ ที่แคบๆ ส่วนบริเวณพื้นที่กว้างๆ การเคลื่อนไหวของรูปร่างจะทำได้เพียงเล็กน้อยเนื่องจาก ระบบการมองเห็นที่ไม่อำนวยต่อมันนั่นเอง

การดมกลิ่น(Smell)แมวได้ถูกพัฒนาความสามารถในระบบการรับรู้กลิ่นได้ดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับลูกแมวที่เกิดใหม่ ก่อนที่มันจะลืมตาได้นั้น มันจะใช้กลิ่นเป็นตัวนำเพื่อให้มันสามารถดูดนมแม่ได้ถึงแม้ว่าตายังไม่เปิด บริเวณหน้าผากของแมวจะมีต่อมผลิตกลิ่นพิเศษที่เรียกว่า สารฟีโรโมส์(Pheromose)เป็นกลิ่นเฉพาะ ของมัน การที่เราเห็นแมวชอบเอาศีรษะมาถูหรือสัมผัสกับคนเราหรือสิ่งของใดๆนั้น แสดงว่า มันได้ปล่อยกลิ่นของมันไว้ มันจึงแยกแยะรับรู้จากกลิ่นต่างๆที่เกิดขึ้นมาแล้วได้ การปล่อยกลิ่นไว้ในที่ต่างๆ ก็สามารถใช้แสดงความเป็นเจ้าของในสิ่งนั้นของมันได้ด้วย แมวเป็นสัตว์ที่มีการรับรู้ที่ดี มันจะร่าเริงในช่วงที่อากาศอบอุ่นหรือได้รับไอแดด ซึ่งเป็นกลิ่นที่มันปรารถนา การที่เราเห็นแมวนั่งอยู่บริเวณประตูหรือหน้าต่างบ่อยๆก็เพื่อ สูดดมเอากลิ่นไอแดดมาปะทะเข้าจมูกมันนั่นเองแต่กลิ่นที่ได้รับนั้นไม่สามารถกระตุ้นด้วยบริเวณจมูก แต่อากาศที่เข้าสู่จมูกจะถูกดึงดูดขึ้นไปตามท่อรูจมูกบริเวณศีรษะผ่านไปสู่ฟันกรามด้านบน แล้ววนไปสู่ระบบประสาทที่สามารถรับรู้กลิ่นได้ เป็นลักษณะเช่นเดียวกับการรับรู้กลิ่นของสัตว์ประเภทงู 

การฟังหรือได้ยินเสียง(Hearing)แมวสามารถรับฟังเสียงที่มีอัตราความถี่ประมาณ 30-45,000 Hertzโดยเป็นระยะทาง กว้างไกลกว่าคนซึ่งได้ยินเพียง 2,000-5,000Hertz หูของแมวจะมีสันโค้งเป็นจุดรวมการกรอง ของเสียงลักษณะใบหูจะมีขบวนการรับฟังเสียงที่มากระทบโสตประสาทบริเวณหูได้สูงมากในบริเวณ ต้นแหล่งของการเกิดเสียงสะท้อนแมวที่เราเลียงอยู่ในบ้านนั้นสามารถแยกเสียงฝีเท้าเดินของคนในบ้าน และคนแปลกหน้าที่เข้ามาในบ้านได้ด้วย

การสัมผัส(Touch)แมวมักจะใช้อุ้งฝ่าเท้าส่วนหน้าในการจำแนกหรือวินิจฉัยวัตถุนั้นๆ โดยมีจมูกเป็นตัวกระตุ้น ที่สำคัญในการสัมผัส แมวสามารถมีแรงผลักดันของการรับรู้ในบริเวณช่วงขนที่ขึ้นยาว คือ หนวด คิ้ว และช่วงขนที่เป็นเส้นยาวบริเวณหลังอุ้งฝ่าเท้าคู่หน้า หนวดประเภทนี้จะช่วยให้มันทราบ ตำแหน่งที่ว่างของการรับรู้จากภายในตัวไปสู่บริเวณตำแหน่งของวัตถุได้ภายในไม่เกิน 1 นาที 


ประโยชน์ของแมว

1. ฝึกความรับผิดชอบ ทำให้กลับบ้านตรงเวลา (รีบกลับไปหาน้องแมว)
2. น้องแมวช่วยคลายเครียด และ ความเหนื่อยล้า เวลากลับบ้านมาเจอน้องเหมียวอ้อนนิดอ้อนหน่อย ทำตาแบ๊ว ก็หายเหนื่อยแล้ววว บางครั้งน้องแมวก็มานวดให้เราด้วยน้าาา
3. น้องแมวเป็นเพื่อนแก้เหงาที่ดี เบื่อๆ ก็มาเล่นกับน้องแมว  แถมการเล่นกับแมวจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ช่วยทำให้ไม่เครียดด้วยนะคะ
4. เป็นเพื่อนที่รับฟังทุกอย่าง ฟังเราบ่นไม่เถียงซักคำ แต่อย่าถามความเห็นนะ เพราะว่าเพื่อนๆ จะได้ยินแต่เหมียวๆ (เราฟังภาษาแมวไม่ออก แต่หลายครั้งเราจะรู้สึกว่าน้องแมวเข้าใจที่เราพูดนัเนี๊ย)
5. เป็นเพื่อนนั่งกินข้าว แต่อย่าลืมว่าของโปรดเราบางอย่างน้องแมวหม่ำไม่ได้
6. ช่วยกำจัดหนู และ แมลง







ขอขอบคุณข้อมูลจาก  -http://www.trueplookpanya.com/
                              -http://www.catlikelove.com
                              -http://www.youtube.com/10 อันดับ ความตลก+น่ารัก ของแมว

วิธีการดูแลแมวเปอร์เซีย แบบเบี้องต้น



การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากว่าแมวเปอร์เซียเป็นแมวขนยาว
ข้อที่ 1 การหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการ เกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื่อโรครวมทั้งพยาธิต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบ และเป็นที่อยู่ของเห็บ หมัด อีกด้วย

ข้อที่ 2 ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้อง จะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

ข้อที่ 3 ส่วนโรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัดหอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตันเป็นต้น นอกจากนี้แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสี มักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วยโรคและวิธีการป้องกันโรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วยอย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างไม่มีอาการหรี่ตาน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูกซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรมเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมาเมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วยนะคะแต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไปคำแนะนำการเลี้ยงแมวเปอร์เซียและโปรแกรมการฉีดวัดซีน3-4 สัปดาห์ ตรวจอุจจาระถ่ายพยาธิ9 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด + โรคระบบทางเดินหายใจตอนบน + โรคช่องปากและลิ้นอักเสบ + โรคคลาเดีย ครั้งที่ 1  10 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมีย ครั้งที่ 1 12 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และถ่ายพยาธิ13 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด + โรคระบบทางเดินหายใจตอนบน + โรคช่องปากและลิ้นอักเสบ + โรคคลาเดีย ครั้งที่ 2 14 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมีย ครั้งที่ 2 ฉีดซ้ำทุก 1 ปี ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด + โรคระบบทางเดินหายใจตอนบน + โรคช่องปากและลิ้นอักเสบ + โรคคลาเดีย + ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมีย + ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแมวเปอร์เซียนั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมไปทั่วโลก ด้วยความที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องรูปร่าง หน้าตา ที่ชวนให้ใคร ๆ หลงรักได้ง่าย ๆ รวมถึงขนนุ่มสลวยของมัน และที่สำคัญนิสัยร่าเริง และขี้ประจบ ทำให้มัดใจเจ้านายได้อยู่หมัด แต่ในการด้านเลี้ยงดูแล้ว แมวพันธุ์นี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้เลี้ยงจึงควรเรียนรู้ที่จะดูแลอย่างถูกวิธีเพื่อให้เจ้าเหมียวอยู่กับเราได้นาน ๆ อย่างมีความสุขว่าแล้วก็ไปดูวิธีดูแลแมวเปอร์เซียกันเลย


วิธีการดูแลอย่างง่ายๆ


1. หมั่นแปรงขนเป็นประจำ
         จุดเด่นของแมวเปอร์เซียนั้นอยู่ที่ขนนุ่มยาวของมัน ที่ทำให้แมวเปอร์เซียดูสง่าหรูหรามากกว่าพันธุ์ไหน ๆ จนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย เราจึงควรดูแลขนของมันให้ดูนุ่มสลวยอยู่เสมอ ด้วยการใช้หวีแปรงขนให้แมวของคุณ อย่างน้อยวันละ 15 นาที นอกจากนี้ ควรเน้นในจุดที่น้องแมวของคุณไม่สามารถเอื้อมไปเลียขนไม่ถึง เป็นพิเศษด้วย เช่น ที่คอ ขา และหาง


2. อย่าปล่อยให้แมวอ้วนจนเกินไป
         แม้ว่าแมวอ้วนกลมจะดูน่ารักน่าเอ็นดูก็เถอะ แต่เราก็ไม่ควรปล่อยให้อ้วนจนเกินไป เพราะมันจะไม่ดีกับสุขภาพร่างกายของเจ้าเหมียวแน่ ๆ แต่ถ้าหากเผลอตามใจจน "เสียแมว" ไปแล้วล่ะก็ ยังไม่สายที่คุณจะจับเขามาเข้าคอร์สไดเอทด้วยการเลือกอาหารลดน้ำหนักสำหรับแมวโดยเฉพาะ หรือปรับลดเนื้อสัตว์ เพิ่มผักทีละน้อย และเพิ่มขึ้นในทุก ๆ มื้อจนกว่าเจ้าเหมียวจะคุ้นชิน ซึ่งแรก ๆ สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณอาจจะไม่ปลื้ม และกินอาหารได้น้อยลง แต่นั่นล่ะ คือผลลัพธ์สู่หุ่นสวยสุขภาพดี ดังนั้น จงอย่าใจอ่อนเลยเชียวล่ะ อย่างไรก็ตาม แมวแต่ละตัวอาจมีสภาพร่างกายที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ควรปรึกษาสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิดด้วย


3. อาบน้ำบ่อย ๆ
         การที่แมวของเรามีเนื้อตัวสกปรก นอกจากจะไม่ดีต่อสุขภาพของมันแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคในบ้านอีกด้วย เราจึงควรรักษาความสะอาดของมันอยู่เสมอ ด้วยการอาบน้ำให้แมวอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทั้งนี้ หากแมวของคุณออกไปนอกบ้าน หรือมีเหตุให้ต้องคลุกคลีกับสิ่งสกปรกอยู่บ่อย ๆ ก็ควรอาบนำให้บ่อยขึ้น ประมาณอาทิตย์ละครั้ง


4. ดูแลรอบดวงตาของมันด้วย
         เพราะรูปหน้าที่เชิดรั้นเข้าคู่กับแก้มป่อง ๆ ของแมวเปอร์เซีย ทำให้มันต้องประสบปัญหาจากคราบน้ำตา และขี้ตาที่เกาะติดรอบตาจนยากจะเอาออกอยู่เสมอ การดูแลรอบตาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และละเลยเสียไม่ได้ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลรอบตาแมวโดยเฉพาะมาเช็ดตามรอบตาของมัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกหาซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาใช้ ก็สามารถนำกระดาษทิชชู่ชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามรอบตาของเจ้าเหมียวของคุณได้เช่นกัน

 5. ไม่ควรปล่อยแมวออกไปข้างนอกบ่อยนัก
         แม้แมวส่วนใหญ่จะชอบออกไปผญภัยนอกบ้าน แต่แมวเปอร์เซียนั้นกลับต่างออกไป เพราะขนยาว ๆ ของมันจะทำให้มันรู้สึกอบอ้าวขึ้นมาอีก ถ้าต้องเจอกับสภาพอากาศร้อน ๆ ภายนอก และมันก็ไม่ใช่แมวที่ขยันสำรวจหาสิ่งใหม่ ๆ นัก ยิ่งไปกว่านั้น ขนของมันยังไปเกี่ยวพันกับสิ่งสกปรกได้ง่ายกว่าแมวทั่ว ๆ ไปอีกด้วย มันจึงเหมาะกับการเลี้ยงในบ้านมากกว่า

6. รับมือกับโรคถุงน้ำที่ไต
         แมวเปอร์เซียประมาณ 36 - 49 % มักจะเป็นโรคถุงน้ำที่ไตซึ่งทำให้มันสูญเสียความสามารถในการกรองสารพิษออกจากร่างกาย โดยจะเริ่มแสดงอาการตั้งแต่ช่วงอายุ 3 - 10 ปี ซึ่งมันจะมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาเจียน เซื่องซึม และกระหายน้ำมากจนผิดสังเกต อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีวิธีรักษาโรคดังกล่าวนี้ให้หายขาด เพราะฉะนั้น หากแมวของคุณมีอาการดังกล่าว ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อปรึกษาหาวิธีดูแล และจัดเรื่องอาหารให้มันอย่างถูกวิธี

  7. อย่าปล่อยให้แมวของคุณขี้เกียจจนเกินไป
         แมวเปอร์เซีย มักมีอุปนิสัยขี้เกียจกว่าแมวทั่วไป และพร้อมจะนอนอยู่เฉย ๆ ได้ทั้งวันโดยไม่รู้จักเบื่อ เราจึงควรหากิจกรรมใหม่ ๆ มาเรียกร้องความสนใจอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้มันใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยจนตัวอ้วนกลมเกินไป อาจจะหาซื้อของเล่นใหม่ ๆ เช่น ลูกบอล หรือไม้แหย่แมว มาคอยดึงความสนใจของมันก็ได้


8. ให้อาหารแต่พอเหมาะ
         ควรให้อาหารในจำนวนที่พอดีเพื่อไม่ให้แมวของคุณทานมากจนเกินไป นอกจากนี้ หากแมวของคุณมีอาการผิดปกติหลังกินอาหาร เช่น ท้องเสีย หรืออาเจียน ก็ควรพาไปพบสัตวแพทย์ เพราะมันอาจมีอาการไม่ถูกกับอาหารบางชนิดก็ได้  ฉะนั้นควรปรึกษาสัตวแพทย์ดูให้ดีว่าแมวของคุณเหมาะกับอาหารแบบไหน

9. รับมือกับปัญหาขนร่วง
         แน่นอนว่าแมวเปอร์เซียที่มีขนยาวเป็นพิเศษนั้น มักมีขนร่วงจำนวนมาก จนยากที่จะคอยดูแลเก็บทิ้งตลอดเวลา บรรดาเจ้าของแมวทั้งหลายจึงเลือกที่จะพยายามทำให้แมวของตนมีขนร่วงลดลงให้มากที่สุด ด้วยการให้ทานอาหารสำเร็จรูปสูตรที่ทำให้ขนหลุดร่วงลดลงแทน อย่างไรก็ตาม นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว คุณสามารถเลือกใช้วิธีอื่นได้อีกเช่นกัน ด้วยการให้แมวของคุณทานต้นกล้าอ่อนข้าวสาลีเป็นประจำ ทั้งนี้ ต้องมั่นใจได้ว่า ต้นกล้าอ่อนข้าวสาลีที่คุณนำมาให้แมวของคุณทานนั้นปลอดสารพิษ เพื่อให้ไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพของแมว
10. สังเกตปัญหาเรื่องการหายใจ
         เนื่องจากแมวเปอร์เซีย มีโพรงจมูกที่ค่อนข้างสั้น จึงทำให้มันต้องประสบปัญหาในการหายใจอยู่เสมอ และในกรณีที่เป็นหนักเข้า แมวบางตัวอาจจำเป็นต้องให้สัตวแพทย์ช่วยผ่าตัดแก้ไข เพื่อให้หายใจได้สะดวก ดังนั้นคุณจึงควรสังเกตพฤติกรรมของมันอยู่เสมอ หากแมวของคุณส่งเสียงทางจมูกบ่อย ๆ หรือมีอาการกรนดังผิดปกติ ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

11. ทำความสะอาดหูเป็นประจำ
         แน่นอนว่าแมวของคุณไม่สามารถทำความสะอาดหูด้วยตัวเองได้ เจ้าของอย่างคุณจึงจำเป็นต้องเป็นคนคอยจัดการดูแลให้มันอยู่เสมอ ด้วยการใช้กระดาษทิชชู่ หรือผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดให้มัน ทั้งนี้ หูของแมวนั้นเป็นส่วนที่อ่อนไหวมาก คุณจึงควรพยายามทำความสะอาดให้เบามือที่สุด และใช้เวลาให้น้อยที่สุดด้วย

12. มองหาแมวจากร้านที่เชื่อถือได้เท่านั้น
         หากคุณต้องการแมวเปอรเซียพันธุ์แท้ที่ไม่ได้มีโรคติดตัว ก็ควรเลือกมองหาในร้านที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น ร้านที่มีชื่อเสียง หรือร้านที่คนรู้จักของคุณแนะนำให้ นอกจากนี้ ระหว่างที่กำลังหาซื้อลูกแมว ก็ควรถามเรื่องความรู้เกี่ยวกับแมวกับเขาด้วย หากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ และไว้ใจได้จริง ๆ เขาก็จะสามารถแนะนำแมวเปอร์เซียลักษณะดี และวิธีการดูแลที่ถูกต้องให้คุณได้แน่นอน

13. อย่าละเลยเวลาที่มันอ้อน
         แม้บางครั้งคุณจะยุ่งกับชีวิตทำงาน และครอบครัวมากจนแทบไม่มีเวลา ก็ควรแบ่งเวลาไว้ดูแลแมวของคุณด้วย เพราะมันก็ชรู้สึกน้อยใจได้เหมือนกันเวลาที่เจ้าของไม่สนใจ ดังนั้นเวลาที่มันอ้อนด้วยการคลอเคลียเอาใจ ก็ควรหันไปเล่นกับมันบ้าง เพื่อให้เขาไม่รู้สึกว่าคุณไม่ใส่ใจมันเท่าที่ควร จำไว้ว่าไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ต้องการความรัก และการเอาใจใส่ด้วยกันทั้งนั้น

 14. ตัดแต่งขนให้ดูดีอยู่เสมอ
         หากต้องการให้แมวของคุณดูสวยโดดเด่นอยู่เสมอ ก็ควรหมั่นพาไปตัดขนที่ร้านเป็นประจำ เพื่อให้ช่างสามารถใช้ลูกเล่น ซอยไล่ระดับขนให้ออกมาดูเป็นประกายสวยงามได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณเบื่อกับการตัดขนแบบเดิม ๆ อาจขอให้ช่างตัดทรงอื่น ๆ ให้กับแมวของคุณด้วยทรงต่าง ๆ เช่น ทรงสิงโตที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ก็ได้

15. ดูแลฟันให้สะอาด
ฟันของสัตว์เลี้ยงมักเป็นสิ่งที่เจ้าของละเลยที่จะสนใจอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดูแลสุขภาพปากของสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว เพราะถ้าหากเกิดการติดเชื้อในช่องปากขึ้นแล้ว อาจนำมาซึ่งโรคร้ายสารพัด และทำให้แมวของคุณอายุสั้นลงได้อีกหลายปี เราจึงควรดูแลฟันของแมวที่เรารักให้สะอาดอยู่เสมอ ด้วยการใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กแปรงให้มันเป็นประจำ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://pet.kapook.com

วิธีการเลี้ยงแมวไทย


อาหารลูกแมว 
ควรให้ลูกแมวอยู่กินนมแม่ไปตลอดจนกว่าจะหย่านมไปเอง ไม่ควรให้ลูกแมวหย่านมเมื่ออายุต่ำกว่า 45 วันเพราะจะทำให้สุขภาพของแมวไม่สมบูรณ์ในภายหลังได้ อย่างไรก็ตามหลังจากหย่านมยังเป็นอาหารที่สำคัญและจำเป็นต่อลูกแมวอยู่จนกว่าอายุเก้าเดือนไปแล้ว อาหารอย่างอื่นจึงจะสำคัญและจำเป็นกว่า แต่ควรให้แมวกินนมวันละครั้งหรือเป็นครั้งคราว และต้องคอยสังเกตว่าแมวมีอาการท้องร่วงท้องเสียจากการกินนมหรือไม่ ถ้ามีควรงด ลูกแมวอายุประมาณ 3 เดือนควรตั้งต้นให้กินอาหารเนื้อได้แล้ว แต่ควรเป็นเนื้อที่สับละเอียดและให้เพียงเล็กน้อย ลูกแมวอายุ 5 ถึง 7 อาทิตย์แล้วแม่แมวให้นมลูกควรจัดให้กินวันละ 4 มื้อ พออายุ 7 ถึง 12 อาทิตย์ลดลงเหลือ 3 มื้อ ถ้าลูกแมวกำพร้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ยังไม่หย่านม ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด หากไม่สามารถนำไปให้กินนมแม่แมวตัวอื่นได้ก็ต้องชงนมให้กินแทนนมแม่ ซึ่งควรระวังเกี่ยวกับความสะอาดและคุณภาพของนมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาจทำให้ลูกแมวเกิดติดเชื้อจากนมที่สกปรกนมบูด ทำให้ท้องร่วงถึงตายได้ นมที่ใช้เลี้ยงลูกแมวกำพร้าอาจใช้นมผงเลี้ยงทารก นมวัวสด หรือนมสดยู.เอช.ที ผสมน้ำและวิตามิน นำมาอุ่นอุณหภูมิประมาณ 98-100 องศาฟาเรนไฮท์ หรือ อังพออุ่นมือจับได้กรอกใส่ขวดยางป้อนลูกแมว 

อาหารแมวโต
ลูกแมวที่กำลังโตหรือหย่านมแล้วผู้เลี้ยงสามารถจัดอาหารให้กินน้อยลงได้ คือให้วันละ 3 มื้อเท่า ๆ กับคนและเมื่อโตเต็มที่เป็นแมวหนุ่มที่อาจลดจำนวนอาหารเหลือเพียง 2 มื้อ คือเช้าและเย็นก็พอ ที่สำคัญคือควรฝึกให้แมวกินอาหารเป็นเวลา ไม่ควรทิ้งอาหารไว้ในจานให้แมวกินตลอดทั้งวัน เพราะเป็นการเสียนิสัย อาหารอาจมีแมลงวันตอมนำเชื้อโรคมาให้ หรืออาหารบูดเสีย ทำให้แมวท้องร่วงได้ 


อาหารแมวท้อง
อาหารที่ใช้เลี้ยงแมวกำลังตั้งท้องนั้นจะต้องมีคุณภาพสูง โปรตีนมาก ไขมันน้อย ขนาดและปริมาณที่ใช้ใน 5 ถึง 6 อาทิตย์แรกของการตั้งท้องพอ ๆ กับใช้เลี้ยงดูแมวโตเต็มวัยประจำวัน แต่จะเพิ่มปริมาณอาหารให้มากขึ้นตามน้ำหนักตัวแมวในระยะ 3 อาทิตย์สุดท้ายก่อนคลอด คือเพิ่มอาหารให้ปริมาณ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ก่อนคลอด 1 ถึง 2 วัน แม่แมวบางตัวมักไม่ค่อยกินอาหารหรือไม่กินเลยเพราะมัวตั้งหน้าตั้งตาหาสถานที่หรือกลัวอยู่กับลังคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่แมวสาวท้องแรกแต่ถือเป็นเรื่องปกติ หลังคลอดลูกแล้วก็จะกินอาหารเอง ข้อพึงระวังคืออย่าขุนจนแมวอ้วนเกินไปทำให้คลอดลำบาก หรือคุมอาหารเสียจนผอมไปไม่มีแรงเบ่งในการคลอด หลังจากคลอดแล้ว แม่แมวก็กลายเป็นแมวแม่ลูกอ่อน ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยงแมวในช่วงนี้ไม่ได้ให้เฉพาะแต่แม่เท่านั้น มันต้องถ่ายทอดไปยังลูกแมวด้วยโดยการเปลี่ยนเป็นน้ำนม ฉะนั้นปริมาณอาหารที่แม่แมวกินจะต้องมีปริมาณเพียงพอเหมือนช่วงตั้งท้อง 

 อาหารแมวแก่
แมวแก่แมวสูงอายุ ร่างกายย่อมต้องการพลังงานน้อยลงจึงไม่ต้องการอาหารมากนัก เพราะถ้ากินมากก็รังแต่ละทำให้มีน้ำหนักตัวมากหรืออ้วนเกินไป ซึ่งควรให้อาหารน้อยลง โดยหลักการแล้วอาหารสำหรับแมวแก่ต้องย่อยง่าย วิตามิน เนื้อที่ไม่มีผังผืด อาหารที่ไม่มีไขมันหรือน้ำตาลที่จะทำให้อ้วน พวกแป้ง วิตามิน รวมทั้งแร่ธาตุต่าง ๆ เพื่อบำรุงร่างกายปริมาณที่ให้ก็ไม่ควรมากเกินไป เพราะแมววัยนี้แล้วไม่กกระฉับกระเฉง การวิ่งเล่นออกกำลังกายย่อมน้อยลงตามอายุ กินกินนอนนอนไม่ได้ใช้พลังงานมากนัก ระบบย่อยอาหารและขับถ่ายเริ่มย่อนประสิทธิภาพ ฉะนั้นอาหารที่กินเข้าไปมาก ๆ นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วยังทำให้เกิดโทษ เช่น แน่นท้องและท้องอืดได้ 

ชนิดของอาหาร
การเลี้ยงแมวตามบ้านคนส่วนใหญ่ ซึ่งเจ้าของมีฐานะความเป็นอยู่แบบไทย ๆ ทำให้แมวเป็นสัตว์ที่กินง่าย เจ้าของแมวส่วนมากมักเลี้ยงแมวด้วยอาหารในครัว อาจเป็นปลาคลุกกับข้าว หรือไข่ต้มหรือน้ำแกงจืด ซึ่งแมวก็อยู่ได้ แต่ถ้าเลี้ยงกันดีเป็นพิเศษหรือเข้าอกเข้าใจแมว อาจมีการเสริมอาหารประเภทเนื้อ นม เสริมให้กิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของที่มีฐานะดีหรือเลี้ยงแมวตามหลักการ อาหารการกินก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารคุณภาพ ซึ่งก็เป็นผลดีแก่ตัวแมวและเจ้าของดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สำหรับชนิดของอาหารแมวนั้น สามารถแบ่งออกได้ 3-4 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เราซื้อหามาปรุงเอง อาหารสำเร็จหรืออาหารสำเร็จรูป ซึ่งอาหารเหล่านี้ก็แตกต่างกันไปในแง่ของรสชาติ คุณภาพ ราคาและคุณค่าของอาหาร ผู้เลี้ยงสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม

อาหารปรุงเอง
การปรุงอาหารขึ้นเองสำหรับให้แมวกินตามบ้านเป็นเรื่องปกติสำหรับการเลี้ยวแมวทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าต้องการให้อาหารถูกส่วนถูกกับความต้องการของแมวโดยซื้อมาปรุงให้ตามสุตร ต้องเข้าใจถึงหลักโภชนาการมาก่อนจึงทำได้เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากและค่อนข
างละเอียด เราะต้องคำนวณทั้งอัตราส่วนและปริมาณของสารอาหารที่เหมาะสมตรงตามความต้องการของแมวในแต่ละวัย นอกจากนี้อาหารที่ปรุงเองก็ยังมีรสชาติไม่แน่นอน เช่น เค็มหรือหวาน รสชาติอาจไม่ถูกปากแมว อาจจะมีไขมันมาก ถ้าใส่ข้าวมากก็จะขาดวิตามิน ถ้าใส่เนื้อมากเกินไปก็จะได้รับโปรตีนเกินความจำเป็น ทำให้ย่อยยากกระเพาะต้องทำงานหนัก สิ่งเหล่านี้ต้องคำนึง 

 อาหารสด
เป็นอาหารผสมเสร็จ มักพบในตู้แช่แข็งตามซุปเปอร์มาร์เก็ต อาหารสดผสมเสร็จนี้บางชนิดก็มีคุณค่าทางอาหารครบ แต่บางชนิดก็ไม่ครบ เวลาที่จะให้แมวต้องปรุงให้สุกเสียก่อน ราคาจะถูกกว่าอาหารสำเร็จรูปชนิดอื่นเล็กน้อย แต่มีข้อเสียคือต้องเก็บไว้ในช่องแช่แข็งตลอดเวลาเพราะเป็นอาหารสดจึงเสียง่าย ต้องซื้อบ่อย ๆ และนอกจากนี้อาหารผสมเสร็จยังมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่าอาหารสำเร็จรูป

อาหารสำเร็จรูป
ป็นอาหารชาวเมืองที่มีจำหน่ายอย่างแพร่หลายทั่วไปเหมาะสำหรับคนที่มีเงินแต่ไม่มีเวลาเพราะสะดวกใช้ง่าย ประหยัดเวลา ทั่วไปแล้วก็เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ไม่ต้องกังวลเรื่องสัดส่วนอาหารเหมือนอาหารสด สะดวกอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาจัดเตรียมอาหารให้แมวทุก ๆ วัน อาหารสำเร็จรูปมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบเป็นเม็ดและแบบเปียก แบบเป็นเม็ดหรืออาหารแห้ง จะมีลักษณะเป็นเม็ดกลมประกอบด้วยธาตุอาหาร และวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ ที่แมวต้องการอย่างเหมาะสม ส่วนประกอบของอาหารเม็ดโดยมากก็มาจากเนื้อสัตว์ เพียงแต่เอามาแปรรูปผ่านกระบวนการบดและอบแห้ง มีคุณค่าของโปรตีนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอัตราส่วนที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของแมวในการนำไปใช้สร้างความเจริญเติบโต นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนประกอบของไขมันที่ช่วยสร้างพลังงานและความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย มีวิตามินที่ช่วยให้แมวมันมีขนยาวสวยได้ ที่พิเศษก็คือมีไฟเบอร์ที่จะช่วยให้แมวท้องไม่ผูก อาหารแห้งสามารถซื้อเก็บไว้ได้คราวละมาก ๆ 
กินอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับแมว
น้ำ
แมวที่มีสุขภาพดีแข็งแรงจะกินน้อยกว่าสุนัขมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแมวมีกำเนิดมาจากทะเลทราย แมวบางตัวอาจไม่กินอาหารหรือน้ำได้นานนับเดือนได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ทางที่ดีแล้วเจ้าของควรจัดหาน้ำสะอาดทิ้งไว้ให้แมวกินได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้าเลี้ยงแมวด้วยอาหารแห้ง รวมทั้งภาชนะที่ใส่อาหารต้องได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำด้วย 

 อาหารโปรตีนที่ชาวไทยเรานิยมใช้เลี้ยงแมว
เนื้อปลาทู โปรตีน 20% เนื้อกระบือ โปรตีน 19.6% เนื้อโค โปรตีน 18.8% เนื้อหมู โปรตีน 14.1% เนื้อไก่ โปรตีน 18% เนื้อเป็ด โปรตีน 16% เนื้อห่าน โปรตีน 16.4% เนื้อกุ้ง โปรตีน 20.8% เนื้อปู โปรตีน 17.2% 

ตารางการให้อาหารแมว
มื้อเช้า เนื้อวัวสับละเอียดคลุกกับข้าวให้กิน ผสมอาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุ นมสดกระป๋องผสมน้ำอุ่น 1 เท่าตัว หรือนมผงละลายน้ำให้กินตามความพอใจ 
มื้อกลางวัน ข้าวคลุกปลาหรือเนื้อ 
มื้อเย็น ปลาต้มหรือปลากระป๋อง หรือตับลวกน้ำร้อนสับละเอียดหรือไข่ลวกให้ไข่ขาว สุกแต่ไม่แข็ง 1 ฟอง (ให้ทุกวันหรืออาทิตย์ละ 2 ครั้ง สำหรับลูกแมวอาจให้ไข่นกกระทาเพราะฟองเล็ก) คลุกข้าวผสมอาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุ



 สุขภาพโดยรวมของแมว
วัคซีนสามารถช่วยป้องกันแมวจากโรคติดเชื้อได้ แต่ท่านไม่ควรจะละเลยปัจจัยอื่นที่สำคัญพอ ๆ กัน ในการทำให้แมวของท่านมีสุขภาพดี ได้แก่ เรื่องอาหาร และการควบคุมพยาธิ สัตวแพทย์จะเป็นผู้ช่วยเหลือให้ท่านมั่นใจว่าท่านได้ให้การเลี้ยงดู และป้องกันอย่างดีที่สุดแก่แมวที่ท่านรัก และให้ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยให้แมวของท่านมีสุขภาพดี และยืนยาว โปรดระลึกไว้เสมอว่า แนวทางการป้องกันโรคเหล่านี้ในแมว ก็คือการนำแมวไปฉีดวัคซีนซึ่งได้ผลมากกว่า 90 % โอกาสจะเกิดโรคจะลดน้อยลงเหลือเพียง 5 - 10 % หรือถ้าเกิดโรคก็จะไม่รุนแรงมากนัก แมวต้องพึ่งพาท่าน ท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถให้การดูแลอย่างดีที่สุดแก่เขา โปรดพาเขาไปพบสัตวแพทย์ อย่างสม่ำเสมอ
:: วัคซีนทำงานได้อย่างไร ::
การฉีดวัคซีนจะช่วยในการป้องกันโรคแต่ไม่ได้ช่วยในการรักษา ในวัคซีนจะประกอบด้วยเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่มีการเปลี่ยนแปลง จนไม่สามารถก่อโรคได้ เมื่อแมวได้รับวัคซีน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตสารที่เรียกว่าภูมิคุ้มกัน ( antibody ) ซึ่งจะมีหน้าที่ต่อต้านเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ก่อโรคขึ้นเมื่อแมวสัมผัสกับโรคนั
นในเวลาต่อมา ภูมิคุ้มกันเหล่านี้ จะทำลายเชื้อที่ก่อโรคอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปีและมีการตรวจสุขภาพ
มวอย่างสม่ำเสมอ

ทำไมลูกแมวจึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนหลายเข็ม
ลูกแมวที่ยังไม่ได้หย่านมจะได้รับภูมิคุ้มกันจากน้ำนมแม่ที่ช่วยปกป้องลูกแมวจากโรคภัยต่าง ๆ ในช่วงเดือน แรก ๆ ของชีวิตแต่ภูมิคุ้มกันจากแม่เหล่านี้จะรบกวนการฉีดวัคซีน ทำให้วัคซีนไม่ได้ผลดี อย่างไรก็ตามภูมิคุ้มกันจากแม่จะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 2 - 3 เดือนแรก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้ลูกแมว 2 - 3 ครั้ง ในช่วงอายุ 6 - 16 สัปดาห์ เนื่องจากถ้าภูมิคุ้มกันจากแม่รบกวนการทำวัคซีนเข็มแรก วัคซีนเข็มต่อ ๆ มาจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายลูกแมวผลิตภูมิคุ้มกันตัวเองต่อโรคนั้น ๆ ได้ 

โรคของแมวที่ต้องฉีดวัคซีน
แมวแหมียว เป็นสัตว์ที่รักอิสระ มีนิสัยชอบท่องเที่ยว ซึ่งวิถีชีวิตแบบนี้ อาจนำเจ้าเหมียวให้ไปสัมผัสกับสัตว์อื่นๆ ทำให้มีโอกาสติดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย มีโรคต่างๆ หลายชนิดที่เมื่อแมวเป็นแล้วมักจะถึงแก่เสียชีวิต ได้แก่โรคมะเร็งเม็ดเลือด ( Feline Leukemia) โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบชนิดติดเชื้อ (Feline Infectious Peritonitis)และโรคพิษสุนัขบ้า ( Rabies ) โรคไข้หัดแมว ( Feline Distemper ) โรคระบบทางเดินหายใจในแมว (Feline Respiratory Disease ) ส่วนโรคอื่นๆก็อาจเป็นอันตรายกับลูกแมว หรือทำให้แมวโตเต็มวัยมีสุขภาพถดถอยได้ 
ยังนับว่าเป็นโชคดีที่มีวัคซีนเพื่อป้องกันโรคสำคัญๆในแมว วัคซีนจะช่วยปกป้องแมว จากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ การป้องกันจะเป็นหลักประกันว่า ท่าได้ให้คุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับแมว ของท่านและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า การรักษาเมื่อแมวเป็นโรคนั้น การฉีดวัคซีนให้แมวเป็นวิธีที่ดีที่สุด และราคาถูกที่สุดในการป้องกันโรคต่างๆถ้าท่านเลี้ยงแมวโดยไม่รัการฉีดวัคซีนตามโปรแก
ม แมวของท่านอาจล้มป่วยด้วยโรคที่ร้ายแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โปรดปรึกษาสัตวแพทย์ ถึงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อในแมว

การฝึกแมว
ด้วยนิสัยอิสระและทำทุกอย่างตามใจตัวเอง ทำให้หลายคนคิดว่าแมวเป็นสัตว์ที่ฝึกไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วสามารถฝึกแมวได้เช่นเดียวกับสุนัข ซึ่งก็ควรฝึกแมวตั้งแต่ยังเล็กอยู่ 
การฝึกแมวนั้นก็มีหลักเช่นเดียวกับการฝึกสุนัข ซึ่งได้มาจาการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ที่เรียกว่า "การตอบสนองอย่างมีเงื่อนไข " ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ " ทำดีมีรางวัลทำผิดโดนลงทัณฑ์ " เมื่อสัตว์ทำถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของคน จะได้รับรางวัลซึ่งอาจเป็นตั้งแต่ คำชม สัมผัส เช่น การลูบหัวไปจนถึงการได้รับของกิน เช่น ขนม อาหาร เป็นต้น เมื่อกระทำผิดคำสั่งอาจถูกดุโดยใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นต่างจากปกติ หรือกระตุกเชือกที่คล้องคออยู่ นอกจากนี้อาจลงโทษโดยวิธีอื่น ๆ อีกเช่น การกักบริเวณ โดยใช้วิธีผูก หรือ ขังกรง การตีโดยใช้กระดาษหนังสือม้วนเป็นท่อนตีพอเป็นการเตือนที่บริเวณสะโพก เป็นต้นควรจำไว้ว่า การฝึกแมวในสายฝึกนี้ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ แต่การฝึกจะช่วยให้ สัมพันธภาพระหว่าง เจ้าของกับแมวดีขึ้น หากทำสำเร็จแล้วแมวจะไม่ต่อต้านและเต็มใจจะเดินไปไหน ๆ ด้วย ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ควรฝึกด้วยความระมัดระวังและให้เกิดความสนุกสนาน






ขอขอบคุฯข้อมูลจาก http:dusmink1.blogspot.com

รายชื่อสายพันธุ์แมวชนิดอื่นๆที่น่าสนใจ


อเมริกันบ็อบเทล (American Bobtail)



สำหรับรูปร่างและลักษณะนิสัยของ อเมริกัน บ็อบเทล มีตั้งแต่ขนาดกลางไปจนใหญ่ เป็นสัตว์ที่มีความเป็นนักกีฬา มีกล้ามเนื้อและพละกำลังแข็งแรง ร่างกายยาวพอสมควรและมั่นคง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หางควรจะมองเห็นอย่างชัดเจนเหนือหลังเวลาที่มันตกใจและความยาวต้องไม่เกิน หัวเข่า หางที่ดีจะต้องเกือบตรงมีส่วนโค้งเล็กน้อย แมวพันธุ์นี้มีหัวเป็นรูปลิ่มแข็งแรงได้ขนาดและมีคิ้วที่เด่นชัดอยู่เหนือ ดวงตาคู่ใหญ่รูปร่างคล้ายอัลมอนด์ทำให้มันมีความเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางก็แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและตื่นตัว ที่ปลายหูของเจ้าเหมียวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ถือว่าเป็นจุดเด่น ขนที่มีลักษณะเฉพาะโดยมีขนสั้นความหนาปานกลางและขนยาวที่ความยาวพอเหมาะ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและกันน้ำได้ ขนชั้นนอกจะหยาบส่วนขนด้านในจะคล้ายกับในกระต่ายซึ่งจะช่วยป้องกันตัวแมวจาก สภาพอากาศได้ เมื่อมันเคลื่อนไหวจะแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติในการเดินรวมทั้งลักษณะทาง กายภาพที่มีความคล้ายคลึงกับแมวป่า สัตว์พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตช้าโดยจะต้องอาศัยเวลา 2-3 ปีกว่าที่จะโตเต็มตัว ถึงแม้แมวพันธุ์นี้จะมีลักษณะของสัตว์ป่าแต่อุปนิสัยและการปรับตัวก็มีความแตกต่างกัน

เอเซียนกึ่งขนยาว (Asian Semi-longhair or Tiffanie)

แมวสายพันธุ์เอเซียนกึ่งขนยาว (The Asian Semi-Longhair)


สายพันธุ์แมวพันธุ์เอเซียนกึ่งขนยาว (The Asian Semi-Longhair)เป็นสายพันธุ์แมวที่มีขนกึ่งยาวมีอ่อนนุ่มและมีบุคลิกที่เป็นมิตรชอบเล่นและมีนิสัยรักเจ้าของแมวสายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันโดยชื่อ Tiffanie หรือทิฟฟานี่ เป็นสายพันธ์ที่ได้รับการยอมรับใน the Asian Shorthair .ในด้านสีและรูปแบบ โดยได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ในสหราชอาณาจักร (Britain) แต่ไม่ได้รับการการจดทะเบียนด้านสายพันธุ์ใน U.S. Registries. แต่เป็นที่ยอมรับอย่างเต็มรูปแบบของสายพันธ์ ทาง The Governing Council of the Cat Fancy (สภาปกครองของแมวแฟนซี) 

บาลินีส (Balinese)

แมวสายพันธุ์บาลิเนส (Balinese)

         เป็นแมวที่มีขนยาวนุ่มและสวยงาม มีลักษณะที่สง่างาม นิสัยดี เป็นมิตร ฉลาด มีความกระตือลือล้นในสิ่งแปลกใหม่ และมีความความอยากรู้อยากเห็น แมวพันธุ์นี้มีเสียงร้องที่นุ่มนวลและเสียงไม่ดังมาก ขนไม่หนามากจึงทำให้ทำความสะอาดได้ง่ายโดยทั่วไป แมวบาลิเนส มีขนยาวตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ของแมวสยาม(สายพันธุ์วิเชียรมาศ) ซึ่งช่วยส่งเสริมความสง่างามของแมวสายพันธุ์นี้ ความยาวของขนนั้นเป็นข้อแตกต่างระหว่าง แมวสยาม และแมวบาร์ลิเนส ซึ่งมีการทดลองการผสมพันธุ์พบว่า บางการทดลองลูกแมวสายพันธุ์สยาม 1 ครอก จะปรากฎลูกแมวที่มีลักษณะขนยาว1 ตัว ซึ่งดึงดูดความสนใจของนักเพาะพันธุ์มากมาย 

เบอร์แมน (Birman)


เป็นแมวขนาดใหญ่ ยาวล่ำสัน กำยำ แข็งแรง ขนยาวแวววาวเหมือนใยไหม ขนสีเหลือบทองเป็นสีที่ชื่นชอบมากกว่า ดูราวกับละอองน้ำกับทองคำ แต้มที่หน้าขาและหางมีสีเข้มขึ้นเหมือนกับ Siamese และแต้มสีของ Persian ซึ่งมีรูปแบบสีของแต้มสีครัง แต้มสีน้ำเงิน แต้มสีช๊อกโกเลตและแต้มสีดอก Lilae ตาเป็นสีน้ำเงินเกือบจะกลม เท้าสีขาวเด่น เป็นเท้าที่ได้สัดส่วนร่วมกัน ถุงเท้าบนเท้าหน้า ถ้าสมบูรณ์แบบจะมีเส้นเรียบยาวไปตามขวาง และบนขาหลังเส้นจะสิ้นสุดในตำแหน่งเหนือส่วนหลังของเขาเรียกว่าสายรัดรองเท้า (Laces) ยากมากที่จะผสมพันธุ์แมวให้ได้ถุงเท้าสีขาว 4 ข้างที่สมบูรณ์แบบ

บริติชขนยาว (British Longhair)

 แมวสายพันธุ์บริติชขนยาว (British Longhair)

สายพันธุ์บริติชขนยาว (British Longhair) เดิมเป็นแมวสายพันธุ์ขนยาว ซึ่งผ่านการผสมข้ามพันธุ์กับสายพันธุ์ขนยาวที่นำเข้ามาจากหลายแห่ง เช่น จากตุรกี และได้รับการพัฒนาเป็นแมวสายพันธุ์เปอร์เซีย ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าและต้นศตวรรษที่ยี่สิบ, แมวสายพันธุ์เปอร์เซียถือเป็นสายพันธ์ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องให้เป็นแมวสายพันธุ์ขนยาว จากแมวสายพันธุ์ขนสั้นของอังกฤษ ในช่วงหลังของศตวรรษที่ยี่สิบแมวขนสั้นสายพันธุ์เปอร์เซียได้รับการพัฒนา และถูกเรียกว่า Exotic Shorthair; ซึ่งมีความแตกต่างจากแมวสายพันธุ์อังกฤษขนสั้นอย่างมาก จึงเป็นเหตุที่ว่า แมวสายพันธุ์ขนยาวของอังกฤษได้รับการแนะนำให้เป็นแมวแฟนตาซี.ขนเป็นมันเงา โดยทั่วไปลำวจะอ้วนกลม ส่วนหัวกลม  ดวงตากลมสดใสและมีหูสั้น มีขาที่ค่อนข้างสั้น แต่แข็งแรง หางมีขนที่หนา และสวยงาม หน้าอกลึกเป็นแมวขนาดปานกลางกะทัดรัด  มีความหลากหลายของสีและรูปแบบเช่นเดียวกับ Shorthairs ของอังกฤษ สีเหล่านี้เช่น สีดำ, สีขาว, สีครีม, สีแดง, สีฟ้า, สีช็อคโกแลต, เป็นต้น

หิมาลายัน (Himalayan)


แมวหิมาลายัน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแมว color point เป็นแมวเปอร์เซียที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่ง แมวหิมาลายันเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวเปอร์เซียและแมวไทยพันธุ์วิเชียรมาศมีลักษณะรูปร่างหน้าตา และขนยาวเหมือนแมวเปอร์เซีย แต่มีแต้มแบบแมววิเชียรมาศ (9 จุด ได้แก่ ครอบหน้า 1, หู 2, ขาทั้ง 4, หาง 1 และอวัยวะเพศ 1) แมวหิมาลายันได้รับการพัฒนาจนมีสายเลือดที่นิ่งจนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นแมวเปอร์เซียอีกสายพันธุ์หนึ่ง 
ทั้งนี้ แมวหิมาลายัน ถูกผสมขึ้นครั้งแรกในแถบเทือกเขาหิมาลัย จึงได้ชื่อว่า แมวฮิมาลายัน แมวพันธุ์นี้จะมีลักษณะขนที่ปกคลุมร่างกายคล้ายละอองหิมะ มีนัยน์ตาสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน หากดวงตาของแมหิมาลายันเป็นสีอื่นจะถือว่าผิดจากมาตรฐาน

เมนคูน (Maine Coon)


แมวเมนคูน (Maine Coon) เป็นแมวลูกผสมที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา เชื่อกันว่าเกิดจากแมวที่ผสมพันธุ์กันในอเมริกา มี การบันทึกกันไว้ว่า พระนางมารี อังตัวเน็ต พระราชินีของ พระราชาฝรั่งเศส ได้ส่งทั้งของและเจ้าพวกสัตว์เลี้ยง เช่น แมวเมนคูน ของพระนางไปก่อนล่วงหน้าก่อน ตอนที่พระนางเตรียมหนี จากพวกปฏิวัติในฝรั่งเศส เข้ามหาสมุทรแอตแลนติกไปอเมริกา ต้นชื่อที่ เรียกว่า เมน นั้น เพราะแม่พันธุ์นี้ ได้พบกันครั้งแรกตอนที่มันมาขึ้นฝั่ง ที่รัฐ ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ด้านอเมริกาเหนือคือ รัฐเมน ส่วนชื่อ คูน ท่อนหลังนั้นน่า จะมาจากพวงหาง ของเจ้าแมวพันธุ์ที่ว่าที่มีหางเป็นพวงเหมือนตัวแรคคูนที่มีอยู่ใน ทวีปอเมริกา เจ้าแมวเมนคูน เป็นแมวที่ได้จากการผสมของตัวแรคคูน กับแมวบ้าน จึงมีชื่อว่า" Maine Coon " ซึ่งมาจากชื่อเมือง Maine กับคำว่า Raccoon

เนบีลัง (Nebelung)
 เป็นแมวที่มีรูปร่างลักษณะหน้าตา คล้ายๆกับแมว Russian Blue ซึ่งได้รับการยอมรับ และขึ้นทะเบียนจากสถาบันแมวในอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1986 คำว่า Nebelung เป็นภาษาเยอรมัน ที่มีความหมายว่า เจ้าแห่งสายหมอก แมวชนิดนี้มีเพียงสีเดียวคือ สีเทา ที่ปลายขนออกเป็นสีเงินเงา นิสัยเรียบร้อย แต่ขี้อาย ไม่ค่อยเข้ากับคนแปลกหน้า และมีความจงรักภักดีต่อเจ้าของเป็นอย่างมาก


เป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งที่มีความโดดเด่นสืบเชื้อสายมาจากแมวของชาวอียิปต์โบราณ มีลักษณะเป็นแมวที่มีสีสันสวยงาม สีขนมีลักษณะเป็นสีสลับกันในเส้นเดียวสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อะบิสซิเนียนจัดเป็นแมวที่มีขนาดปานกลาง มีลักษณะท่าทางภายนอกที่สง่าผ่าเผย ภายนอกเป็นแมวที่มีความแข็งแรง มีกล้ามเนื้อ มีความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ภายในแฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล มีความรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว และมีความขี้เล่นประสาแมว อะบิสซิเนียนจึงจัดเป็นสายพันธุ์แมวที่ได้รับความนิยมที่สุดในสายพันธุ์แมวขนสั้นของสหรัฐเอเมริกา

อเมริกันขนสั้น(American Shorthair)


เป็นแมวที่ถูกนำมาจากยุโรปไปสู่แผ่นดินอเมริกาเหนือ เมื่อครั้งมีการโยกย้ายถิ่นฐานของคนยุโรปไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ แมวถูกนำลงเรือไปเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากมันในการล่าหนูมิให้ทำลายข้าวของ ซึ่งที่นำไปด้วยนั้นมีหลายตัว และได้ผสมพันธุ์กันจนได้ลูกที่มีลักษณะเฉพาะออกมาให้เห็นอย่างปัจจุบัน

บอมเบย์(Bombay)

แมวสายพันธุ์บอมเบย์ กิดจากการผสมระหว่างแมวสายพันธุ์เบอร์มิส (แมวพม่า หรือชื่อในภาษาไทยคือ แมวศุภลักษณ์) กับแมวสายพันธุ์อเมริกันขนสั้น มีรูปร่างขนาดกลางมองเห็นกล้ามเนื้อชัดเจน หัวโตหน้าผากกลมกว้าง หูกลมและเอียงไปทางข้างหน้า มีจมูกสั้นสีดำคางเห็นชัดเจน ตากลมโตสีตามีตั้งแต่สีทองไล่ไปจนสีทองแดง ขายาวปานกลางเท้าเล็กรูปไข่ มีนิสัยอ่อนโยนไม่ก้าวร้าวสามารถปรับตัวเข้ากับแมวตัวอื่นๆได้ดีและชอบอยู่กับมนุษย์ไม่ปลีกตัวไปไกลชื่อสายพันธุ์บอมเบย์ได้มาจากเสือดำในประเทศอินเดีย และชื่อเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย

รัสเซียนบูล (Russian Blue)

เป็นชื่อแมวพันทางพันธุ์หนึ่ง ที่ลำตัวปกคลุมด้วยสีฟ้าเจือเงิน มีชื่อในด้านฉลาดเฉลียวและชอบเล่นเป็นที่หนึ่งแต่จะขลาดกลัวคนแปลกหน้ามากความสัมพันธ์ระหว่างราเชินบลูกับมนุษย์นั้นในทาประวัติศาสตร์มีทั้งประเภทอยู่ร่วมกันสันติ และถูกมนุษย์ล่าอย่างหนักเพื่อเอาขนไปทำเสื้อคลุม

โซมาลี(Somali)


เป็นแมวขนยาวที่ผสมพันธุ์ขึ้นในประเทศแคนาดาแต่ทั้งยุโรปและแคนาดาต่างก็มีแมวพันธุ์นี้มีลำตัวยาวหางอ่อนโค้งงอ ศีรษะลาดกลม กลางศีรษะเป็นสันนูนใหญ่ มีจุดแต้มที่ใบหูลูกนัยน์ตากลมรี ผิวหนังคล้ายตัวกระรอก ขนจะขึ้นหนาทึบ ขนยาว อ่อนนุ่มราวเส้นไหม ขนเป็นปุย บริเวณใบหู ที่หางมีขนแบบขนนก มีขนสีแดงขึ้นรอบ บริเวณใบหูอีกทีหนึ่ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.orgรายชื่อสายพันธุ์แมว